Tax Knowledge : ขายสินค้าต่ำกว่าทุน

       การประกอบธุรกิจของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าหรือให้บริการ เมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีจะต้องนำรายได้ดังกล่าวมาคำนวณกำไรหรือขาดทุนสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล นอกจากจะต้องนำรายได้มาคำนวณกำไรสุทธิแล้วก็ต้องนำรายจ่ายมาคำนวณกำไรสุทธิด้วย ซึ่งรายได้และรายจ่ายที่นำมาคำนวณกำไรสุทธิต้องใช้เกณฑ์สิทธิในการคำนวณกำไรสุทธิ
       
       โดยให้นำรายได้ที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีใด แม้ว่าจะยังไม่ได้รับชำระในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น มารวมคำนวณเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น และให้นำรายจ่ายทั้งสิ้นที่เกี่ยวกับรายได้นั้น แม้จะยังมิได้จ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นมารวมคำนวณเป็นรายจ่ายของรอบระยะเวลาบัญชีนั้น ในกรณีจำเป็นผู้มีเงินได้จะขออนุมัติต่ออธิบดีเพื่อเปลี่ยนแปลงเกณฑ์สิทธิและวิธีการทางบัญชี เพื่อคำนวณรายได้และรายจ่ายก็ได้ และเมื่อได้รับอนุมัติจากอธิบดีแล้ว ให้ถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป
       
       ในการนำรายได้หรือรายจ่ายมาคำนวณกำไรสุทธินั้นจะต้องระมัดระวังในเรื่องของการโอนทรัพย์สิน ให้บริการ หรือให้กู้ยืมเงินได้มีการคิดค่าตอบแทน ค่าบริการหรือดอกเบี้ยหรือไม่ หรือหากมีการคิดค่าตอบแทนแต่ต่ำกว่าท้องตลาดหรือไม่ ซึ่งตามประมวลรัษฎากรได้กำหนดไว้ตามมาตรา 65 ทวิ (4) ที่ให้อำนาจเจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมิน โดยกำหนดไว้ดังนี้
       
        "ในกรณีโอนทรัพย์สิน ให้บริการ หรือให้กู้ยืมเงิน โดยไม่มีค่าตอบแทน ค่าบริการ หรือดอกเบี้ย หรือมีค่าตอบแทน ค่าบริการ หรือดอกเบี้ยต่ำกว่าราคาตลาดโดยไม่มีเหตุอันสมควร เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินค่าตอบแทน ค่าบริการ หรือดอกเบี้ยนั้น ตามราคาตลาดในวันที่โอน ให้บริการหรือให้กู้ยืมเงิน"
       
        ดังนั้นหากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีการโอนทรัพย์สิน ให้บริการ หรือให้กู้ยืมเงิน โดยไม่คิดค่าตอบแทน หรือคิดแต่ต่ำกว่าตลาดเจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมิน ธุรกิจขายสินค้าหรือให้บริการเมื่อมีการดำเนินธุรกิจขายสินค้าหรือให้บริการมักจะมีการกำหนดราคาขายสินค้าหรือให้บริการตามใบราคา (Price List) ซึ่งอาจจะแยกเป็นราคาขายปลีก ขายส่ง ขายผ่านตัวแทน ที่มีราคาขายหรือให้บริการไม่เท่ากัน
       
       แต่มีหลักเกณฑ์ เงื่อนไขที่กำหนดอัตราในการให้ส่วนลดแก่ลูกค้าแต่ละราย ที่ผู้ประกอบการสามารถให้ส่วนลดแก่ลูกค้าได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากรได้ให้อำนาจเจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินหากขายสินค้าหรือให้บริการต่ำกว่าราคาตลาดโดยมีเหตุอันไม่สมควร อะไรคือเหตุอันสมควร
       
       องค์ประกอบของ "เหตุอันสมควร" จะมีดังนี้
       
       1) ต้องมีเหตุผลทางธุรกิจการค้าสนับสนุนอย่างเพียงพอ
       
       2) ต้องไม่เลือกปฏิบัติกับลูกค้ารายใดรายหนึ่งโดยเฉพาะ
       
        บริษัทแห่งหนึ่งประกอบกิจการจำหน่ายเครื่องเสียงติดรถยนต์และอุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น ลำโพง เครื่องเสียง (พาวเวอร์แอมป์) จอภาพขนาดเล็ก อะไหล่เกี่ยวกับเครื่องเสียง เป็นต้น บริษัทได้รับคำสั่งซื้อจอภาพขนาด 7 นิ้ว จากบริษัท ก จำกัด บริษัทจึงได้สั่งซื้อสินค้าดังกล่าวจากบริษัท ข จำกัด และบริษัท ค จำกัด รวมจำนวน 760 ชิ้น เพื่อจะนำมาส่งมอบให้กับบริษัท ก แต่เนื่องจากแผนการตลาดของบริษัท ก เปลี่ยนแปลงไปจึงได้ปฏิเสธการสั่งซื้อสินค้าเป็นเหตุให้บริษัทมีสินค้าคงเหลือค้างสต็อกจำนวน 359 ชิ้น
       
       บริษัทจึงได้ติดต่อขายสินค้าให้กับบริษัทในเครือเดียวกันในต่างประเทศในราคาชิ้นละ 3,425 บาท (ราคาซื้อหรือราคาต้นทุนชิ้นละ 11,300 บาท) จำนวน 350 ชิ้น เพราะสินค้าในตลาดปัจจุบันใช้จอภาพขนาด 8 นิ้ว สินค้าที่ขายมีราคาตลาดชิ้นละ 4,200-5,000 บาท นอกจากนี้ บริษัทต้องจ่ายเงินชดเชยให้แก่บริษัท ค ราคาชิ้นละ 40 เหรียญสหรัฐ เป็นเงินประมาณ 1,261,160 บาท
       
       เนื่องจากเมื่อบริษัทได้สั่งซื้อสินค้าจากบริษัท ข และบริษัท ค บริษัททั้งสองได้ผลิตสินค้าเพื่อเตรียมส่งมอบให้แก่บริษัท ซึ่งสินค้าดังกล่าวได้สั่งทำและนำเข้ามาเพื่อขายให้กับบริษัทโดยตรงไม่สามารถนำไปขายที่อื่นได้ โดยสัญญาซื้อขายมิได้มีเงื่อนไขหรือข้อตกลงในเรื่องของการยกเลิกสัญญาและผลของการยกเลิกสัญญาในกรณีดังกล่าว
       
       การที่บริษัทได้ขายจอภาพติดรถยนต์ขนาด 7 นิ้ว ให้กับบริษัทในเครือเดียวกันอยู่ในต่างประเทศในราคาชิ้นละ 3,425 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาทุนและราคาตลาด โดยอ้างว่าสินค้าในตลาดปัจจุบันใช้จอภาพขนาด 8 นิ้ว เข้าลักษณะเป็นการโอนทรัพย์สินโดยมีค่าตอบแทนต่ำกว่าราคาตลาดโดยไม่มีเหตุอันสมควร เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินค่าตอบแทนตามราคาตลาด และคำนวณมูลค่าของฐานภาษีตามราคาตลาดตามมาตรา 79/3 (1) แห่งประมวลรัษฎากร
       
       เนื่องจากสัญญาซื้อขายมิได้มีเงื่อนไขหรือข้อตกลงระหว่างบริษัทและบริษัท ค ในเรื่องของการยกเลิกสัญญาและผลของการยกเลิกสัญญา ในกรณีดังกล่าวบริษัทจึงไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินชดเชยตามข้อตกลงซึ่งได้กระทำนอกเหนือจากสัญญาให้บริษัท ค. การจ่ายเงินชดเชยของบริษัทจึงเป็นการกระทำโดยสมัครใจของบริษัท ไม่เข้าลักษณะเป็นรายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ ต้องห้ามมิให้หักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ และกรณีที่บริษัทได้ขายสินค้าให้กับบริษัทในเครือเดียวกันซึ่งอยู่ในต่างประเทศ โดยบริษัทได้ดำเนินพิธีการศุลกากรส่งสินค้าออกนอกราชอาณาจักรเพื่อส่งสินค้าไปต่างประเทศ บริษัทจะได้รับสิทธิ์เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ตามมาตรา 80/1 แห่งประมวลรัษฎากร
       
        ดังนั้นการที่บริษัทได้มีการขายสินค้าหรือให้บริการจะต้องไม่ต่ำกว่าราคาตลาดยกเว้นมีเหตุอันสมควร มิฉะนั้นเจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมิน

ที่มา : http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9500000023186


Step up

       คำว่า ราคาตลาด หมายความว่า ราคาของค่าตอบแทน ค่าบริการ หรือดอกเบี้ย ซึ่งคู่สัญญาที่เป็นอิสระต่อกันพึงกำหนดโดยสุจริตในทางการค้า กรณีโอนทรัพย์สิน ให้บริการ หรือให้กู้ยืมเงินที่มีลักษณะ ประเภท และชนิดเช่นเดียวกัน ณ วันที่โอนทรัพย์สิน ให้บริการ หรือให้กู้ยืมเงิน (คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 113/2545) และ ราคาตลาดในการคำนวณมูลค่าของฐานภาษี ให้ถือราคาเฉลี่ยของราคาตลาดที่ซื้อขายกัน ตามความเป็นจริงทั่วไปในวันที่ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น (ตามมาตรา 79/3 แห่ง ประมวลรัษฎากร)

       นอกจากการขายสินค้าหรือให้บริการจะต้องไม่ต่ำกว่าราคาตลาดยกเว้นมีเหตุอันสมควรแล้ว การซื้อสินค้า หรือ ให้บริการ ในราคาที่สูงเกินไป ก็อาจถูกสรรพากรถือเป็นรายจ่ายต้องห้ามได้ตามมาตรา 65 ตรี(15)
"(15) ค่าซื้อทรัพย์สินและรายจ่ายเกี่ยวกับการซื้อหรือขายทรัพย์สินในส่วนที่เกินปกติโดยไม่มีเหตุผลสมควร" ถือเป็นรายจ่ายต้องห้าม

       เหตุอันสมควรในการขายสินค้าหรือให้บริการต่ำกว่าราคาตลาดนั้นมีตัวอย่าง เช่น

ข้อหารือตามหนังสือ กค.กค 0811(กม)/134 ลว.29 มกราคม 2542 เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง: http://www.rd.go.th/publish/23386.0.html

         "กรณีตามข้อเท็จจริง บริษัทฯ ประสงค์จะขายสินค้าใกล้หมดอายุ สินค้าหมดอายุ สินค้าที่เหลือจากการส่งออก สินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน วัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ที่มีตำหนิไม่สามารถนำไปใช้ในการผลิต โดยขายในราคาต่ำกว่าต้นทุน ซึ่งมิใช่เป็นการทำลายสินค้า แต่เป็นการโอนทรัพย์สิน โดยมีค่าตอบแทนต่ำกว่าราคาตลาด หากได้มีการตรวจสอบสภาพสินค้าตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนดไว้ และได้รับอนุมัติจากผู้มีอำนาจในการพิจารณาให้เป็นสินค้าใกล้หมดอายุ หมดอายุ ไม่ได้มาตรฐาน หรือเศษซากดังกล่าว พร้อมทั้งจะต้องมีบุคคลร่วมสังเกตการณ์ ประกอบด้วยฝ่ายคลังสินค้าและฝ่ายบัญชี โดยลงลายมือชื่อเป็นพยานในการขาย เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการบันทึกบัญชี และได้ขายสินค้าไปในราคาต่ำกว่าต้นทุน ถือได้ว่าบริษัทฯ โอนทรัพย์สินโดยมีค่าตอบแทนต่ำกว่าราคาตลาด โดยมีเหตุอันสมควรไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น บริษัทฯ ไม่จำเป็นต้องให้บุคคลอื่นเป็นผู้รับรองอีกแต่ประการใด"